วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

สาราะน่ารู้ที่แปลกใหม่

การกำจัดปลวกโดยใช้เหยื่อล่อปลวก ทำได้เองแบบง่าย ๆ
สวัสดีค่ะท่านสมาชิกชมรมเกษตรปลอดสารพิษทุก ๆ ท่าน  ตลอดจนผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม หรือหาข้อมูลจากบทความฉบับนี้ ในวันนี้ผู้เขียนมีวิธีการทำเหยื่อล่อปลวกแบบง่าย ๆ มาฝากกันค่ะ  เอาใจท่านสมาชิก หลาย ๆ ท่านที่กำลังประสบปัญหานี้กันหน่อย ปัญหา ปลวกกินบ้าน เป็นปัญหาสำคัญหนึ่งที่คนไทยประสบอยู่ขณะนี้ เนื่องจากปลวกสามารถ ทำลายบ้านเรือนให้เสียหายโดยสิ้นเชิงในระยะเวลา 3-5 ปี ในขณะที่ผู้อยู่อาศัยต้องใช้เวลาในการผ่อนบ้านนาน ถึง 10-15 ปี ปัจจุบันปัญหาปลวกกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น การขยายพื้นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ โดยเฉพาะ ผู้อาศัยในเมืองใหญ่ ๆ ที่มีอัตราการเจริญค่อนข้างสูง เนื่องจากการปลูกสร้างบ้านเรือนที่พักอาศัยของมนุษย์เป็นการทำลายระบบ นิเวศน์ที่สมบูรณ์ของปลวกและการเพิ่มเนื้อที่สร้างที่อยู่อาศัยของมนุษย์ เป็นการลดพื้นที่อยู่อาศัยและลดพื้นที่หากินของปลวก
   ปัจจุบันได้มีการทำวิจัยเรื่องปลวก การหาวิธีป้องกันและกำจัดปลวก แต่ยังเป็นการกำจัดด้วยการใช้ สารเคมี ซึ่งสารเคมีมีพิษร้ายแรงต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ และทำให้มีสารพิษตกค้างในดิน บ้านเรือน สวน สิ่งแวดล้อมอื่น ๆ และเป็นภัยมืดที่มองไม่เห็น  เพื่อเป็นการลดประชากรปลวกในบ้านให้น้อยเรามาเริ่มกันเลยนะค่ะ  เริ่มจากหากล่องกระดาษลัง กระดาษลูกฟู หรือกระดาษหนังสือพิมพ์ก็ได้ค่ะเอามาฉีด จากนั้นแช่น้ำให้กระดาษยุ่ย  จากนั้นขยำบิดน้ำออกพอหมาด ๆ  เอาจุลินทรีย์เมธาไรเซียมมาคลุกเคล้า ให้เข้ากัน  จากนั้นปั้นเป็นลูก กลม ๆ  แล้วไปอัดฝังตามร่องทางเดินของปลวกในบ้าน  รอบ ๆ บริเวณบ้านให้ทั่วเลยนะค่ะ   หรือจะนำเอาไปใช้ในสวน  ตามตามจอมปลวก  โคนต้นไม้ใหญ่ ขุดหลุมเล็กน้อยแล้วฝังไว้ก็ได้  ทำแบบนี้ เดือนล่ะครั้ง  หรือ 2 เดือนครั้งก็ได้ค่ะ  หมั่นคอยมาดูว่าปลวกมากินเหยื่อหมดรึยังจากนั้นก็ทำใหม่เลย ๆ  เพียงเท่านั้น ท่านสมาชิก ๆ ก็สามารถช่วยลดจำนวนประชากรปลวกให้น้อยลงได้แล้วล่ะ  แต่จะให้ปลวกหมดโลกคงทำไม่ได้  ตราบใดที่ในบริเวณบ้าน หรือ สวนของท่าน ยังมีอินทรียวัตถุ เช่น ไม้  ซากพืช ซากสัตว์ ที่ยังเป็นอาหารของปลวกชั้นยอดยังคงอยู่ แล้วอีกอย่างปลวกตัวแรกของโลกถือกำเนิดเมื่อประมาณ 220 ล้านปีมาแล้ว  เป็นการยากที่จะทำให้หมดโลกค่ะ

หากสมาชิกท่านใด ต้องการปรึกษา และขอรับเอกสารรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติมก็สามารถ โทรเข้ามาขอรับเอกสารได้ที่ชมรมเกษตรปลอดสารพิษทุกสาขานะค่ะ หรือ ติดต่อมายัง คุณเพชรรัตณ์ มีมา ผู้เขียนได้ที่ 02-903-0820 ,089-444-2366 ซึ่งประจำการอยู่ที่ ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ (สาขาบางใหญ่) ได้โดยตรงเลยค่ะ

พรีเว้นท์ (น้ำสัมควันไม้) กำจัดปลวก


สวัสดีดีค่ะท่านสมาชิกทุกท่าน  ท่านสมาชิกหลาย ๆ ท่านคงเจอปัญหา  ปลวกที่เข้าทำลายบ้านเรือน สามารถกินบ้านได้ทั้งหลังภายในระยะเวลา  3-5 ปี   ขณะที่ผู้อาศัยต้องใช้เวลาในการผ่อนบ้านนาน 10-15 ปี    ซึ่งปลวก ...กำลังกลายเป็นศัตรู ตัวฉกาจสำหรับ คนรักบ้านโดยทั่วไป เพราะเมื่อมันเข้าบ้าน ได้เมื่อไหร่ เรื่องจะให้ถอยออกไปนั้นยาก ที่สำคัญมันกินทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นไม้หรือผลิตจากไม้ การกำจัดปลวก กำจัดแมลง จึงกลายเป็น ภารกิจสำคัญของผู้อยู่อาศัยและบริษัทกำจัดปลวกไปโดยปริยายที่ต้องรีบกำจัด มิใช่นั้นบ้านของท่านจะได้รับความเสียหายอย่างมหาศาล ซึ่งบริษัทที่รับกำจัดปลวกที่มารับจ้างฆ่าปลวกในบ้านเรานั้นมีทั้งที่ใช้สารเคมีกำจัดและสมุนไพรกำจัด     ปลวก ..... เป็นภัยเงียบ ซึ่งชอบอาศัยบริเวณความชื้น และแทรกตัวมาตามร่องรอยของการแตกร้าวของอาคาร ปลวกไม่ได้ทำให้อาคารแตกร้าวแต่ อาศัยร่องของการแตกร้าวเป็นทางเดินเพื่อไปสู่แหล่งอาหาร เช่น ไม้ กระดาษ หนังสือ เป็นต้น   ส่วนแมลงนอกจากก่อความรำคาญแล้วยังเป็นสัตว์พาหะหรือสัตว์นำโรคอีกด้วย   


ซึ่งคุณ สมพร สุขพรกิจ  เลขที่ 98/612  ต.บางรักพัฒนา  อ.บางบัวทอง  จ. นนทบุรี 11110  ก็เป็นบริษัทที่รับ กำจัดปลวกรายหนึ่ง  ที่หันมาใช้สารสกัดจากกรดอินทรีย์ เข้มข้น หรือที่เราเรียกกันว่า...พรีเว้นท์ หรือน้ำสัมควันไม้เดิมทีก่อนที่คุณสมพร จะมาพบชมรมเกษตรปลอดสารพิษ ได้ใช้กำจัดวิธิการกำจัดปลวกให้ลูกค้าด้วย สารเคมี มาโดยตลอด เป็นระยะเวลายาวนาน  จนมีปัญหาเรื่องของสุขภาพที่จะต้อง สูดดมสารเคมีที่ตัวเองใช้กำจัดปลวกให้กับลูกค้า ทุกวัน จนกระทั่งรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเริ่มแย่ลง แต่กิจการที่ตนสร้างขึ้นมาต้องเดินหน้าต่อเพราะลูกค้าเพิ่มขึ้นทุกวัน ทำให้คุณสมพร คิดหาผลิตภัณฑ์ ที่สามารถป้องกันและกำจัดปลวก อย่างถูกวิธีและปลอดภัยต่อผู้ให้บริการ ผู้บริโภค จนมาพบชมรมเกษตรฯ นักวิชาการจึงแนะนำให้ใช้ พรีเว้นท์ หรือ น้ำสัมควันไม้ ฉีดพ่น เพราะคุณสมพร จะต้องฉีดอัดเข้าไปตามท่อภายในบ้าน  เจ้าพรีเว้นท์นี่แหละ !!  จะกำจัดและขับไล่ปลวด มด แมลงที่น่ารำคาญ  ทำลายตัวอ่อนและไข่ตัดวงจรการระบาด ควบคุมประชากรปลวกให้ลดน้อยลง ควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อรา แบคทีเรีย และจุลินทรีย์ที่เป็นโทษ  หากบ้านใดที่เลี้ยงสุนัขก็สามารถกำจัด เห็บ หมัด รักษาโรคขี้เรื้อนในสุนัขได้ด้วย   คุณสมพรบอกว่า หลังจากที่ใช้พรีเว้นท์ รู้สึกว่าตัวเองปลอดภัย ลูกค้าก็ปลอดภัย เช่นกัน
หากท่านสมาชิก หรือผู้ที่สนใจท่านใดต้องการกำจัดปลวกที่ได้  คุณภาพจากธรรมชาติ  ปลอดภัยใช้ง่าย เห็นผลทันใจ  ประหยัดต้นทุน  ไร้สารตกค้าง  ปลอดภัยต่อผู้ใช้  สิ่งแวดล้อม ก็สามารถใช้บริการบริษัทของคุณสมพร สุขพรกิจ ได้ที่  081-402-0802  หรือสั่งซื้อผลิตภัณฑ์พรีเว้นท์ได้ที่ ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ ทุกสาขา
พรีเว้นท์ทำลายรังมดคันไฟได้อย่างราบคาบ


มดเป็นสัตว์ขนาดเล็กที่ดูไม่น่ากลัวเมื่อมีปริมาณน้อยๆ แต่ว่าจะดูน่ากลัวเมื่อมดมารวมกลุ่มกันในปริมาณมากๆหรือที่เรียกว่า มาทั้งรัง และมดจะมีความสามัคคีกันเป็นอย่างดี จึงสามารถทำงานต่างๆได้อย่างง่ายดาย และสามารถเอาชนะศัตรูได้อย่างไม่ยากนัก เมื่อเกิดการรวมกลุ่มและสามัคคีกัน อีกอย่างหนึ่งก็คือมดจะมีสัมผัสที่ 6  สัมผัสที่ 6 คือสัมผัสที่นอกเหนือกว่า สัมผัสที่ 5 คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แต่ว่ามดจะมีมากกว่านั้น ก็คือสัมผัสพิเศษ ที่สามารถรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ก่อนมนุษย์แต่ว่ามนุษย์ก็จะเรียนรู้จากมดอีกทีหนึ่ง อย่างเช่น เวลาจะมีฝนตกหนัก มดจะขนไข่หนีจากบริเวณที่น้ำจะท่วมเข้าไปอยู่ในที่ที่น้ำท่วมไม่ถึง แล้วมนุษย์ก็จะเรียนรู้จากมด คือเมื่อมีมดขนไข่ย้ายรัง มนุษย์ก็จะเข้าใจว่า อีกไม่กี่วันก็จะมีฝนตกหนักแน่นอน

สิ่งนี้ผมก็เจอกับตัวเองล่ะครับ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีมดคันไฟขนไข่ จากในป่าเข้ามาทำรังในกระถางต้นไม้ โอ๊โห...พระเจ้าจอร์จมันยอดมาก ดินเป็นเม็ดเล็กๆเกลื่อนตามพื้นและท่วมกระถางต้นไม้แบบว่าไม่เห็นยอดต้นไม้ที่ปลูกในกระถางเลยเมื่อผมเห็นอย่างนี้ ผมก็เลย นำพรีเว้นท์(น้ำส้มควันไม้) 1 ลิตร ผสมน้ำ 5 ลิตร เทราดไปที่รังมดคันไฟ หลังจากที่เทพรีเว้นท์ลงไป สักพัก มดก็เงียบหายอยู่ในรัง พอเวลาผ่านไป 1 วัน ผมก็ไม่เห็นมดออกมาเพ่นพ่าน ก็เลยเอาไม้เขี่ยๆดู ก็พบว่ามดคันไฟตายอยู่ในรัง พอผ่านไป3-4 วัน ฝนก็เทลงมาอย่างหนักอย่างที่มดส่งสัญญาณให้รู้ก่อนหน้านี้  เห็นไหมครับว่าพรีเว้นท์ใช้กำจัดมดได้ดีมากเลย ปลอดภัยต่อผู้ใช้และสิ่งแวดล้อม ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ชีวิตยืนยาว สมาชิกชมรมฯท่านใดสนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้พรีเวนท์ก็สามารถติดต่อได้ที่ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

สาระน่ารู้ทางการเกษตร

วิจัยกล้วยไข่ให้ผิวสวย ใช้อุณหภูมิควบคุมการตก กระ

กล้วยไข่...หนึ่งในปัญหาที่ทำให้ถูกกดราคา หรือหนักสุดคือส่งขายไม่ได้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ส่งออกมักประสบบ่อยครั้ง คือผิวของเปลือกเป็น กระ
เพื่อที่จะลดปัญหานี้ลง ศ.ดร.สายชล เกตุษา ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ เมธีวิจัยอาวุโส ได้รับทุนสนับสนุน การวิจัยจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ให้ทำการศึกษาวิจัยกล้วยไข่ทั้งก่อนและหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อหาสาเหตุ
ในการศึกษาเก็บข้อมูลได้ใช้ถุงพลาสติกคลุมเครือกล้วย ควบคู่กับการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อโรคทั้งก่อน-หลังการเก็บเกี่ยว อีกทั้งยังเก็บรักษาผลกล้วยให้สุกในสภาพปลอดเชื้อ-โรค แต่ก็ยังพบการตกกระของผลกล้วยไข่อยู่
ศ.ดร.สายชล...จึงสันนิษฐานว่า การตกกระของกล้วยไข่สุก สาเหตุเบื้องต้นไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคอย่างแน่นอน และ คงเกิดจากการที่ปล่อยทิ้งไว้ให้กล้วยงอมเต็มที่
ซึ่งจะทำให้เนื้อเยื่อบริเวณที่เกิดรอยตกกระเกิดรอยบุ๋ม ส่งผลให้น้ำบริเวณรอบข้างไหลเข้ามาทดแทน อันเป็นเหตุทำให้เนื้อเยื่อติดเชื้อได้ง่าย กระทั่งผิวของกล้วยไข่กลายเป็นสีดำ
ด้วยเหตุนี้ทางคณะวิจัยฯ จึงได้เริ่มศึกษาเปรียบ เทียบกับการเกิดสีน้ำตาล (browning) ของเนื้อเยื่อพืชชนิดต่างๆ อาทิ สีขาวของผลแอปเปิลที่ตากลมไว้เกิดสีน้ำตาล การเกิดสีผิดปกติของผลิตผลเขตร้อน เมื่ออยู่ภายใต้อุณหภูมิต่ำเหนือจุดเยือกแข็ง (chilling injury; 0-12 C) และการเกิดจุดสีน้ำตาลของผักกาดหอมห่อ (rusett spotting)
ผลที่ได้พบว่าเมื่อได้รับเอทิลีนที่อุณหภูมิต่ำ สีน้ำตาลที่เกิดขึ้นมาเกิดจากการทำปฏิกิริยาของเอนไซม์ กับสารฟีนอลิก ในสภาวะที่มีออกซิเจน โดยเม็ดสีเหล่านี้จะรวมตัวกันเป็นโมเลกุลขนาดใหญ่และตกตะกอนอยู่ตามเนื้อเยื่อของพืช
และ...เมื่อนำกลับมาไว้ในห้อง กล้วยไข่จะยังคงตกกระเช่นเดิม หากนำไปไว้ที่อุณหภูมิ 42 ํC นาน 6-24 ชม.ก็จะสามารถยับยั้งการตกกระของกล้วยไข่ได้อย่างถาวร อีกทั้งความชื้นสัมพัทธ์ในบรรยากาศ จะช่วยให้การตกกระเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีความชื้นมากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์
เมื่อทราบถึงปัจจัยเหล่านี้ จึงได้คิดวิธีการชะลอการตกกระขึ้น ด้วยวิธีการเก็บรักษากล้วยไข่สุกในบริเวณที่มีอุณหภูมิ 12-18 C หรือช่องแช่เย็นปกติ ซึ่งจะช่วยลดการตกกระได้นาน 5 วัน ใช้พลาสติกฟิล์มพีวีซี (PVC Film) หรือพลาสติกที่ยอมให้อากาศถ่ายเท ห่อผลกล้วยไข่เพื่อควบคุมปริมาณออกซิเจนให้เหลือน้อยที่สุด การใช้สารเคลือบผิว เพื่อลดการหายใจด้วยออกซิเจนของผลกล้วยไข่
จากการวิจัยและศึกษาการตกกระของกล้วยไข่ ได้ถูกนำมาใช้ป้องกันผิวของผลกล้วย โดยมีการนำกล้วยไข่ไปบรรจุในภาชนะ จานโฟมและห่อด้วยพลาสติก หรือแช่เก็บในชั้นวางของที่มีอุณหภูมิ 12-18 C เหล่านี้ก็ “เพื่อชะลอการตกกระของกล้วยไข่และดึงดูดใจผู้บริโภค”
นอกจากจะลดปัญหาการตกกระแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดที่คณะวิจัยได้รับรู้ ต้องการ คือความเข้าใจในธรรมชาติของกล้วยไข่ว่าจุดตกกระเกิดขึ้น เมื่อกล้วยไข่นั้นสุกมิใช่เกิดจากโรคแต่อย่างใด.


แมงดานาไล่ศัตรูด้วยกลิ่น แต่นำมาให้ใช้กับมนุษย์อาหาร


การกิน......ปัจจุบันแม้จะมีให้เลือกหลากหลายทะลักเข้ามาในสังคมบ้านเรา ทั้งที่ประเภทแพงหูฉี่ราคาเทียบเท่าทองคำ จนถึงประเภททั้งประเภทกินสะดวกกินด่วนที่วัยรุ่นชอบแอ็กอาร์ตเปิบกันแล้วว่าทันสมัย  
แต่ยังไง๋ยังไง....วัฒนธรรมการบริโภคของไทยเราก็ยังโหยหาน้ำ พริกกันอยู่วันยังค่ำ เพราะชื่อนี้ไม่ว่าจะชนิดใดภาคไหน รสชาติของมันประทับเข้าถึงโคนลิ้นเลยทีเดียว ยิ่งถ้าได้เหยาะแมงดาเข้าไปซักนิดแล้ว กลิ่นของมันจะช่วยปรุงรสให้แซบเหลือหลาย
แมงดานาที่ใช้ตำกับน้ำพริกจะเป็นแมงดานา ซึ่งสนนราคาที่ขายตามท้องตลาดยามนี้ก็อยู่ที่ตัวละ 5-10 บาท... และราคานี้ก็มิใช่ว่าจะหาซื้อได้ง่ายๆด้วย
แมงดานา....มีด้วยกัน 3 สายพันธุ์ คือ พันธุ์หม้อ ซึ่งเป็นพันธุ์ที่เราเห็นวางขายอยู่ตามท้องตลาด ลำตัวมีลักษณะขอบปีกมีลายสีทองคลุมไม่มิดส่วนหาง จะขยายพันธุ์รวดเร็ว ไข่ดก พันธุ์ลาย ขอบปีกมีลายสีทองและคลุมมิดหาง วางไข่แต่ละครั้งไม่แน่นอน และ พันธุ์เหลือง หรือ พันธุ์ทอง มีสีเหลืองทั้งตัว ชอบกินแมงดานาพันธุ์อื่นๆเป็นอาหาร....จึงไม่ควรเลี้ยงรวมกับพันธุ์อื่นๆ
แมงดานาตัวเมียลำตัวจะแบน ส่วนท้องใหญ่กว้าง เมื่อแง้มดูที่ปลายท้องจะเห็นอวัยวะวางไข่คล้ายเม็ดข้าวสาร ส่วน ตัวผู้ ลำตัวจะกลมป้อมเล็กกว่าตัว เมีย มีเดือยหาง ซึ่งส่วนนี้จะมีต่อมกลิ่นหอมฉุน
มันชอบออกบินในเวลากลางคืน ส่วนกลางวันจะหลบซ่อนอยู่ตามหนอง คลอง บึง และในท้องนา ในเวลาฤดูฝนกลางคืนเมื่อมีฝนตกปรอยๆ ตัวแก่จะบินขึ้นมาวนเวียนอยู่ตามที่มีแสงไฟฟ้าโดยเฉพาะสีม่วง สีฟ้า สีน้ำเงิน แล้วปล่อยกลิ่นเพื่อเรียกความสนใจจากตัวเมีย ให้มาผสมพันธุ์ ปีหนึ่ง “จะฝากรัก” 3-4 ครั้ง เมื่อได้ความสุขสุดขีดแล้วมันก็จะตาย
ช่วงที่มันฝากรักปล่อยกลิ่นฉุนเรียกคู่มาหา แล้วมันก็จะเกาะบนหลังตัวเมีย ผสมพันธุ์ตามกอหญ้า กอข้าว เมื่อตัวเมียวางไข่ ซึ่งมีลักษณะเป็นกลุ่มวางเรียงเป็นแถวตามต้นข้าวหรือต้นหญ้า หรือตามกิ่งไม้ขนาดเล็กในน้ำ ซึ่งแต่ละกลุ่มมีประมาณ 100-200 ฟอง...ตัวผู้จะทำหน้าที่เฝ้าไข่ โดยว่ายน้ำขึ้น-ลงตลอดและเยี่ยวรดไข่ ช้กับมนุษย์ไม่ได้ผล

การเกษตรเรื่องพันธุ์ของกุหลาบ

การเกษตรเรื่องพันธุ์ของกุหลาบ

การเกษตรเรื่องพันธุ์ของกุหลาบ


การเกษตรเรื่องพันธุ์ของกุหลาบในประเทศไทย
1) กุหลาบตัดดอก หรือ ไฮบริดที (Hybrid Tea หรือ HT) ปกติมักออกดอกเป็นดอกเดี่ยวมีขนาดโต กลีบดอกซ้อน พุ่มต้นตั้งตรงสูงประมาณ 1-2 เมตร กุหลาบชนิดนี้ที่มีขายอยู่ทั่วไปตามท้องตลาด ในการทำการเกษตร การปลูกกุหลาบพันธุ์ ไฮบริดที นั้นจำเป็นต้องคัดเลือกพันธุ์ให้เหมาะสมสำหรับแต่ละท้องที่ เพราะกุหลาบพันธุ์นี้ไม่ได้ปลูกเป็นไม้ตัดดอกได้ดีทุกพันธุ์ ลักษณะที่ดีสำหรับสำหรับตัดดอก มีดังนี้
  • ต้องมีความแข็งแรงทนทาน ลำต้นโต สามารถเจริญเติบโตได้ดี
  • ต้องออกดอกอย่างสม่ำเสมอ และต้องไม่ทรุดโทรมไวเมื่อถูกตัดดอกไปมากๆ
  • ต้องทนต่อโรคและแมลงได้ดี
  • ต้อวมีลำต้นที่ตั้งตรง เพราะจะทำให้ปลูกชิดกันได้มากขึ้น ช่วยประหยัดเนื้อที่
  • ต้องมีกิ่งก้านยาวตรง มีหนามน้อย และมีใบงามสมดุลกับกิ่ง
  • รูปร่างของดอกดี คือทรงดอกยาวแบบแจกันหรือปลายกลีบดอกแหลม
  • กลีบดอกต้องไม่ซ้อนหนาเกินไปจนดอกบานไม่ออก
  • กลีบดอกต้องหนา เพื่อจะได้สามารถทนทานในขั้นตอนการบรรจุหีบห่อและขนส่ง
  • ดอกต้องมีสีสันสวยงามสะดุุดตาและต้องไม่เปลี่ยนสีเมื่อดอกโรย
  • ต้องไม่เหี่ยวเฉาง่ายหลังจากตัดแล้ว เพราะจะทำให้กุหลาบเสียราคา
  • ดอกต้องมีกลิ่นหอม (ถ้าเป็นไปได้)
โดยพันธุ์กุหลาบที่กรมส่งเสริมการเกษตรแนะนำให้ปลูกมีดังนี้
  • พันธุ์ดอกสีแดง ได้แก่ พันธุ์บราโว. เรดมาสเตอร์พีช , คริสเตียนดิออร์, โอลิมเปียด, นอริค้า, แกรนด์มาสเตอร์พีช, ปาปามิลแลนด์, เวก้า
  • พันธุ์ดอกสีเหลือง ได้แก่ พันธุ์คิงส์แรนซัม, ซันคิงส์, เฮสมุดสมิดท์,นิวเดย์ โอรีโกลด์ และเมลิลอน
  • พันธุ์ดอกสีส้ม ได้แก่ พันธุ์ซันดาวน์เนอร์, แซนดรา, ซุปเปอร์สตาร์หรือทรอพปิคานา
  • พันธุ์ดอกสีชมพู ได้แก่ พันธุ์มิสออลอเมริกาบิวตี้ หรือมาเรีย, คาสลาส, ไอเฟลทาวเวอร์, สวาทมอร์, เฟรนด์ชิพ, เพอร์ฟูมดีไลท์, จูวังแซล, เฟิร์สท์ไพรซ์, อเควเรียส, ซูซานแฮมเชียร์
  • พันธุ์ดอกสีขาว ได้แก่ พันธุ์ไวท์คริสต์มาส เอทีนา
  • พันธุ์ดอกสีอื่นๆ ได้แก่ พันธุ์แยงกี้ดูเดิ้ล, ดับเบิ้ลดีไลท์, เบลแอนจ์
  • นอกจากนี้ยังมีกุหลาบสำหรับเด็ดดอกร้อยพวงมาลัย เช่น กุหลาบพันธุ์ฟูซิเลียร์ ซึ่งมีดอกสีส้ม
2) กุหลาบพวง หรือ ฟลอริบันด้า ( Foribunda หรือ F.) กุหลาบพวงจะมีความแข็งแรงทนทานกว่ากุหลาบตัดดอก ออกดอกดกแต่ดอกไม่ใหญ่เท่ากับกุหลาบตัดดอกแต่มีครบทุกสี และออกดอกเป็นช่อทีละหลายๆ ดอก จึงนิยมเรียกว่ากุหลาบพวง และมักบานพร้อมกัน ดอกมีขนาดเล็ก พุ่มต้นตั้งตรงสูง ประมาณครึ่งเมตรถึง 1 เมตร เหมาะสมที่จะปลูกในแปลงประดับและในกระถางเช่น พันธุ์ฟูซีเลียร์ , พันธุ์แองเจลเฟส เป็นต้น
3) ประเภทแกรนดิฟลอร่า (Grandiflora หรือ Gr. ) กุหลาบประเภทนี้เป็นกุหลาบลูกผสมระหว่างกุหลาบตัดดอก และกุหลาบพวง มีลักษณะเป็นดอกเดี่ยว แต่ดอกเล็กกว่ากุหลาบตัดดอก มีก้านยาว ต้นโต สูง และแข็งแรง เช่ น พันธุ์คาเมล็อท , พันธุ์คาเสทไนท์ เป็นต้น
4) กุหลาบ หรือ มินิเอเจอร์ (Miniature หรือ Min.) เป็นกุหลาบที่มีขนาดพุ่มต้นเล็ก สูง 1- 2 ฟุต ออกดอกเป็นพวงและดอกมีขนาดเล็ก นิยมปลูกประดับแปลง และใช้เป็นไม้กระถาง เช่น พันธุ์เบบี้ มาสเคอร์เหรด เป็นต้น
5) กุหลาบเลื้อย หรือ ไคลมเบอร์ (Climher หรือ Cl.) กุหลาบชนิดนี้ลำต้นสูงตรง นำไปเลื้อยพันกับสิ่งต่าง ๆ ได้ดอกมีทั้งเป็นดอกขนาดใหญ่ และดอกเป็นพวง เช่น พันธุ์ดอนจวน , พันธุ์ค็อกเทล เป็นต้น
6) ประเภทโพลีแอนท่า (Polyantha หรือ Pol.) เป็นกุหลาบลูกผสมระหว่างพันธุ์โรซ่า มัลติฟอร่า กับ โรซ่า ไชเนนซิสมีขนาดพุ่มต้นเตี้ย แข็งแรงและทนทานมาก ออกดอกเป็นพวงคล้ายกุหลาบพวง ลักษณะดอกและต้นคล้ายกุหลาบหนูแต่จะแตกต่างกับกุหลาบหนูตรงที่กุหลาบโพลีแอนท่า จะมีหูใบที่มีลักษณะของพันธุโรซ่า มัลติฟลอร่า กุหลาบประเภทนี้ เช่น พันธุ์วายวอน ราเบีย เป็นต้น
7) ประเภทแรมเบลอร์ (Rambler หรือ R) มีลำต้นยาวและอ่อนโค้งออกดอกเป็นพวงและดอกมีขนาดเล็ก เช่น พันธ์ไดโรที เปอร์กิน เป็นต้น
8.) กุหลาบพุ่ม หรือ ซรับโรส (Shrub หรือ S.) ได้แก่กุหลาบพันธุ์ป่าหรือลูกผสมของพันธุ์ป่า ซึ่งมีทรงต้นเป็นพุ่ม ออกดอกเป็นช่อ ดอกมีขนาดเล็กส่วนมากมีกลีบชั้นเดียว เช่น พันธ์โรซ่า นิติด้า , โรซ่า มัลติฟลอร่า, โรซ่า รูโกซ่า เป็นต้น


การปลูกกุหลาบ (ฟื้นเศรษฐกิจไทยด้วยการเกษตร)
กุหลาบเป็นไม้ดอกที่มีความสวยงามยากที่จะหาดอกไม้ชนิดอื่นมาเปรียบเทียบ ได้จนกระทั่งมีผู้ให้ฉายาว่า "ราชินีแห่งดอกไม้" ดังนั้นกุหลาบจึงเป็นดอกไม้ที่ นิยมปลูกและใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้กุหลาบยัง มีคุณสมบัติที่ดีเด่นอีกหลายประการ สามารถใช้ประโยชน์ได้กว้างขวาง เช่น ใช้ เป็นไม้กระถาง ไม้ตัดดอก ตกแต่งสถานที่ ตลอดจนใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับทำเป็น น้ำมันหอมระเหยและดอกไม้แห้ง ในการปลูกเป็นการค้าก็ยังได้เปรียบดอกไม้อีก หลายชนิดเป็นต้นว่า สามารถควบคุมการออกดอกได้ง่ายซึ่งทำให้กำหนดการออกดอก ให้ตรงกับเทศกาลทำให้สามารถจำหน่ายได้ราคาดี และเนื่องจากกุหลาบเป็นดอกไม้ ที่นิยมของคนทั่วไป ดังนั้น จึงสามารถหาตลาดจำหน่ายได้ง่ายกว่าดอกไม้อื่น ๆ นอกจากนี้กุหลาบที่ปลูกในประเทศไทยยังเจริญเติบโตได้ดีในฤดูหนาวซึ่งต่างกับ ประเทศในแถบยุโรปที่ต้องการกุหลาบมาก การจะปลูกกุหลาบในฤดูหนาวต้อง ปลูกในเรือนกระจก ทำให้เสียค่าใช้จ่ายสูงจึงส่งผลให้ดอกกุหลาบมีราคาแพง ดังนั้น ประเทศที่ปลูกกุหลาบได้ดีในฤดูหนาวจึงสามารถตัดดอกส่งไปขายในตลาดต่าง ประเทศได้ราคาดี
 
กุหลาบพันธ์ต่าง ๆ
กุหลาบที่ปลูกในประเทศไทยปัจจุบันนี้มีอยู่ด้วยกันหลายประเภทซึ่งถ้า แบ่งออกโดยสังเขปจะได้ดังนี้
 
1. กุหลาบตัดดอกหรือไฮบริดที (Hybrid Tea หรือ HT)J ปกติมัก ออกดอกเป็นดอกเดี่ยวมีขนาดโต กลีบดอกซ้อน พุ่มต้นตั้งตรงสูงประมาณ 1-2 เมตร กุหลาบที่มีขายทั่วไป ตามท้องตลาดขณะนี้มักจะเป็นกุหลาบประเภทนี้ อย่า งไร ก็ตาม พันธุ์ ไฮบริดที นั้น มิได้ใช้บลูกเป็นไม้ตัดดอกได้ดีทุกพันธุ์ ดังนั้น จำเป็น ต้องคัดเลือกพันธุ์ให้เหมาะสมสำหรับแต่ละท้องที่ ลักษณะที่เหมาะสมสำหรับจะใช้ เป็นพันธุ์สำหรับตัดดอก คือ 1. แข็งแรง ต้นโต เลี้ยงง่ายและเจริญเติบโตได้ดี
2. ออกดอกสม่ำเสมอไม่โทรมไวเมื่อถูกตัดดอกไปมาก ๆ
3. ทนต่อโรคและแมลงได้ดีพอสมควร
4. ลำต้นตั้งตรง ซึ่งจะทำให้ปลูกได้ชิดกันเป็นการประหยัดเนื้อที่
5. ให้กิ่งก้านยาวตรง มีหนามน้อย ใบงามสมดุลกับกิ่ง
6. ฟอร์มดอกดี ทรงดอกยาวแบบแจกันหรือปลายกลีบดอกแหลม
7. กลีบดอกไม่ซ้อนหนาเกินไปจนดอกบานไม่ออก
8. กลีบดอกหนา ทนต่อการบรรจุหีบห่อและขนส่ง
9. ดอกมีสีสะดุดตาและไม่เปลี่ยนสีเมื่อดอกโรย
10. ไม่เหี่ยวเฉาง่ายหลังจากตัดแล้ว
11. ดอกมีกลิ่นหอม (ถ้าเป็นไปได้)


พันธุ์เรดมาสเตอร์พีช พันธุ์แกรนด์มาสเตอร์พีช
ปัจจุบันกุหลาบที่นิยมปลูกเป็นไม้ตัดดอกในประเทศไทยมีอยู่มากมายหลายพันธุ์ แต่พันธุ์ที่กรมส่งเสริมการเกษตรแนะนำให้ปลูกมีดังนี้
 
พันธุ์ดอกสีแดง ได้แก่ พันธุ์บราโว. เรดมาสเตอร์พีช, คริสเตียนดิออร์, โอลิมเปียด, นอริค้า, แกรนด์มาสเตอร์พีช, ปาปามิลแลนด์, เวก้า
 
พันธุ์ดอกสีเหลือง ได้แก่ พันธุ์คิงส์แรนซัม, ซันคิงส์, เฮสมุดสมิดท์,นิวเดย์ โอรีโกลด์ และเมลิลอน
 
พันธุ์ดอกสีส้ม ได้แก่ พันธุ์ซันดาวน์เนอร์, แซนดรา, ซุปเปอร์สตาร์หรือทรอพปิคานา
 
พันธุ์ดอกสีชมพู ได้แก่ พันธุ์มิสออลอเมริกาบิวตี้ หรือมาเรีย, คาสลาส, ไอเฟลทาวเวอร์, สวาทมอร์, เฟรนด์ชิพ, เพอร์ฟูมดีไลท์, จูวังแซล, เฟิร์สท์ไพรซ์, อเควเรียส, ซูซานแฮมเชียร์
 
พันธุ์ดอกสีขาว ได้แก่ พันธุ์ไวท์คริสต์มาส เอทีนา
 
พันธุ์ดอกสีอื่นๆ ได้แก่ พันธุ์แยงกี้ดูเดิ้ล, ดับเบิ้ลดีไลท์, เบลแอนจ์
 
นอกจากนี้ยังมีกุหลาบสำหรับเด็ดดอกร้อยพวงมาลัย เช่น กุหลาบพันธุ์ฟูซิเลียร์ ซึ่งมีดอกสีส้ม
พันธุ์นิวเดย์ พันธุ์มิสออลอเมริกันบิวตี้

พันธุ์เพอร์ฟูมดีไลท์
2. กุหลาบพวง หรือ ฟลอริบันด้า ( Foribunda หรือ F.) กุหลาบพวงมีความแข็งแรงทนทานกว่ากุหลาบตัดดอก ออกดอกดกแต่ดอกไม่ใหญ่เท่ากับกุหลาบตัดดอกแต่มีครบทุกสี และออกดอกเป็นช่อทีละหลาย ๆ ดอก จึงนิยมเรียกว่ากุหลาบพวง และมักบานพร้อมกัน ดอกมีขนาดเล็ก พุ่มต้นตั้งตรงสูง ประมาณครึ่งเมตรถึง 1 เมตร เหมาะสมที่จะปลูกในแปลงประดับและในกระถางเช่น พันธุ์ฟูซีเลียร์, พันธุ์แองเจลเฟส
3. ประเภทแกรนดิฟลอร่า (Grandiflora หรือ Gr. ) กุหลาบประเภทนี้เป็นกุหลาบลูกผสมระหว่างกุหลาบตัดดอก และกุหลาบพวง มีลักษณะเป็นดอกเดี่ยว แต่ดอกเล็กกว่ากุหลาบตัดดอก มีก้านยาว ต้นโต สูง และแข็งแรง เช่ น พันธุ์คาเมล็อท, พันธุ์คาเสทไนท์
4. กุหลาบ หรือ มินิเอเจอร์ (Miniature หรือ Min.) เป็นกุหลาบที่มีขนาดพุ่มต้นเล็ก สูง 1- 2 ฟุต ออกดอกเป็นพวงและดอกมีขนาดเล็ก นิยมปลูกประดับแปลง และใช้เป็นไม้กระถาง เช่น พันธุ์เบบี้ มาสเคอร์เหรด
5. กุหลาบเลื้อย หรือ ไคลมเบอร์ (Climher หรือ Cl.) กุหลาบชนิดนี้ลำต้นสูงตรง นำไปเลื้อยพันกับสิ่งต่าง ๆ ได้ดอกมีทั้งเป็นดอกขนาดใหญ่ และดอกเป็นพวง เช่น พันธุ์ดอนจวน, พันธุ์ค็อกเทล
6. ประเภทโพลีแอนท่า (Polyantha หรือ Pol.) เป็นกุหลาบลูกผสมระหว่างพันธุ์โรซ่า มัลติฟอร่า กับ โรซ่า ไชเนนซิสมีขนาดพุ่มต้นเตี้ย แข็งแรงและทนทานมาก ออกดอกเป็นพวงคล้ายกุหลาบพวง ลักษณะดอกและต้นคล้ายกุหลาบหนูแต่จะแตกต่างกับกุหลาบหนูตรงที่กุหลาบโพลีแอนท่าจะมีหูใบที่มีลักษณะของพันธุโรซ่า มัลติฟลอร่า กุหลาบประเภทนี้ เช่น พันธุ์วายวอน ราเบีย
7. ประเภทแรมเบลอร์ (Rambler หรือ R) มีลำต้นยาวและอ่อนโค้งออกดอกเป็นพวง และดอกมีขนาดเล็ก เช่น พันธ์ไดโรที เปอร์กิน
8. กุหลาบพุ่ม หรือซรับโรส (Shrub หรือ S.) ได้แก่กุหลาบพันธุ์ป่าหรือลูกผสมของพันธุ์ป่า ซึ่งมีทรงต้นเป็นพุ่ม ออกดอกเป็นช่อ ดอกมีขนาดเล็กส่วนมากมีกลีบชั้นเดียว เช่น พันธ์โรซ่า นิติด้า, โรซ่า มัลติฟลอร่า, โรซ่า รูโกซ่า
การเตรียมดินและการปลูก
ถึงแม้กุหลาบจะปลูกได้ในดินเกือบทุกชนิด แต่ดินที่ต่างกันก็ย่อมทำให้ การเจริญเติบโตดีเลวต่างกันออกไป ดังนั้นก่อนปลูกควรเตรียมดินดังนี้
ในภาคกลางซึ่งมีสภาพดินค่อนข้างเหนียว และค่อนข้างเป็นกรดจัด ระดับ น้ำใต้ดินสูง เกษตรกรผู้ปลูกกุหลาบจะนิยมปลูกแบบร่องสวน ซึ่งมีคูน้ำคั่นกลาง โดยเริ่มเตรียมดินในฤดูแล้ง คือจะต้องฟันดินและตากดินให้แห้ง เพื่อกำจัดวัชพืช ก่อน ในขณะที่ตากดินนี้อาจโรยปูนขาวลงไปด้วยก็ได้ เมื่อดินแห้งดีแล้วจึงกลับ หน้าดิน และชักดินในแต่ละแปลงให้มีขอบสูง ตรงกลางเป็นแอ่งเล็กน้อย ขนาด ของแปลงกว้างและยาวตามพื้นที่เดิมที่เคยปลูกผักมาแล้ว การวางระยะห่างของ ต้นที่จะปลูกอาจใช้ระยะ 50 x 50 เซนติเมตร จำนวนแถวในแต่ละแปลงไม่ควร เกิน 3 แถว เพื่อความสะดวกในการตัดดอกและตัดแต่งกิ่งตรงแถวกลาง
สำหรับในภาคอื่นที่มีสภาพดินค่อนข้างร่วนหรือดินร่วนปนทราย อาจ ปลูกแบบเจาะหลุมปลูกหรือแยกแปลงปลูกก็ได้โดยวัดขนาดแปลงปลูกกว้าง 1 .20 เมตร เว้นทางเดิน 1 เมตร ความยาวของแปลงปลูกตามขนาดของพื้นที่ และใช้ ระยะปลูก 60 x60 เซนติเมตร ซึ่งจะได้จำนวนต้นประมาณ 2,000 ต้นต่อไร่ (หรือ ทำแปลงปลูกกว้าง 1เมตร เว้นทางเดิน 1 เมตร และใช้ระยะปลูก 50 x 50 เซนติเมตร สำหรับพันธุ์กุหลาบที่ขนาดของทรงพุ่มไม่แผ่กว้างมากนัก) ก่อนปลูกควรหว่าน ปูนขาวและไถพรวนตากดินไว้ให้แห้ง
กุหลาบสามารถปลูกได้ทั้งในดินที่เป็นกรดหรือด่าง แต่เจริญได้ดีในดิน ที่ค่อนข้างเป็นกรดเล็กน้อย คือมี pH ประมาณ 4.5-6.5 ถ้าดินเป็นกรดมากให้เติม ปูนขาว 60-100 กิโลกรัมต่อ 100 ตารางวา แต่ถ้าดินเป็นด่างก็ใส่กำมะถันผง 20-50 กิโลกรัมต่อ 100 ตารางวา เมื่อเตรียมแปลงปลูกเรียบร้อยแล้ว ให้ขุดหลุม ปลูกกว้างและลึก 30 x 30 เซนติเมตร (ถ้าเตรียมหลุมปลูกกว้างและลึกกว่านี้ จะ เป็นการดียิ่งขึ้น) จากนั้นก็จะใส่ปุ๋ยคอก เช่น ขี้เป็ด ขี้ไก่ ขี้วัว ฯลฯ ประมาณหลุมละ 1 บุ้งกี๋ ใส่ปุ๋ยซุปเปอร์ฟอสเฟต หรือกระดูกป่นเป็นปุ๋ยรองก้นหลุม ๆ ละ 1 กำมือ คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วจึงนำกิ่งพันธุ์กุหลาบซึ่งอาจจะเป็นกิ่งตอนหรือต้นติดตา ลงไปปลูก กลบดินที่โคนต้นให้กระชับและรดน้ำให้ชุ่ม
กิ่งพันธุ์ที่นิยมนำมาปลูกเพื่อตัดดอกเป็นการค้าในปัจจุบัน ได้แก่ กิ่งตัดชำ และกิ่งตอนจะมีเกษตรกรบางรายที่ปลูกโดยใช้ต้นติดตา แต่มีน้อยราย
การขยายพันธ์
การขยายพันธุ์กุหลาบที่นิยมใช้มี 3 วิธี คือ
1. การตัดชำ
วิธีการตัดชำที่นิยมทำอยู่ทั่วไปคือ เลือกกิ่งกุหลาบที่ไม่แก่และไม่อ่อน จนเกินไปนำมาตัดเป็นท่อนประมาณ 12-15 เซนติเมตร หรือ 1 คืบ รอยตัดต้อง อยู่ใต้ข้อพอดีแล้วตัดใบตรงโคนกิ่งออก จากนั้นเฉือนโคนทิ้ง แล้วจุ่มโคนกิ่งตัดชำนี้ ในฮอร์โมนเร่งราก เซ่น เซอราดิกส์ เบอร์ 2 (เพื่อช่วยเร่งให้ออกรากเร็วขึ้น) แล้วผึ่ง ให้แห้งนำไปปักชำในแปลงพ่นหมอกกลางแจ้ง ถ้าไม่มีแปลงพ่นหมอกก็ใช้เครื่องพ่นน้ำรดสนามหญ้าก็ได้แล้วให้น้ำเป็นระยะ ๆ ตามความจำเป็น โดยมีหลักว่าอย่า ให้ใบกุหลาบแห้ง กิ่งกุหลาบจะออกรากใน 12-15 วัน แล้วแต่พันธุ์ การชำกิ่งนี้ นิยมทำกันมากในปัจจุบันเพราะได้จำนวนต้นมากในระยะเวลาสั้นเสียค่าใช้จ่าย น้อยแต่กิ่งชำนี้เมื่อนำไปปลูกต้นจะโทรมเร็วภายใน 3- 4 ปี ซึ่งกุหลาบพันธุ์สีเหลือง และสีขาวมักจะออกรากยาก
ตัดกิ่งกุหลาบเป็นท่อนประมาณ 12-15 ซม. เฉือนโคนกิ่งทิ้ง
จุ่มโคนกิ่งตัดชำในฮอร์โมนเร่งราก
2. การตอน
กิ่งที่ใช้ตอนมักมาจากกิ่งที่มีสภาพแตกต่างกันทั้งกิ่งอ่อนและกิ่งแก่ คละกันไปทำให้การเจริญเติบโตของต้นกุหลาบหลังลงแปลงปลูกในแปลงไม่สม่ำเสมอ ซึ่งการตอนนี้จะใช้เวลาในการเกิดรากนานประมาณ 4-7 สัปดาห์ ทั้งนี้ แล้วแต่ พันธุ์ที่จะใช้ตอน
3. การติดตา
วิธีการทำต้นกุหลาบติดตานี้ค่อนข้างยุ่งยากและต้องใช้เวลาในการทำ นานกว่า 2 วิธีแรกคือ ตั้งแต่เริ่มตัดชำต้นตอป่าจนถึงพันธุ์ดีทีนำไปติดนั้นออก ดอกแรกจะใช้เวลาประมาณ 5-6 เดือน โดยในขั้นแรกจะต้องตัดชำต้นตอป่า (ของกุหลาบป่า) ให้ออกรากและเลี้ยงต้นตอป่านั้นให้แตกยอดใหม่ยาวเกิน 1 ฟุต ขึ้นไป ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือน (หลังตัดชำและออกราก) จากนั้นจึงนำ ตาพันธุ์ดีที่ต้องการไปติดตาที่บริเวณโคนของต้นตอป่า การติดตานี้จะต้องอาศัย ฝีมือและความชำนาญพอสมควรโดยจะใช้วิการติดตาแบบใดก็ได้ เช่น แบบตัวที เป็นต้น
วิธีติดตา วิธีติดตากุหลาบที่ได้ผลดีคือการติดตาแบบที่เรียกว่ารูปตัวที หรือ แบบโล่ มีวิธีทำดังนี้คือ
1. เลือกบริเวณที่จะติดตา ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะพยายามติดตาให้ต่ำที่สุด เท่าที่จะทำได้คือ ประมาณไม่เกิน 3 นิ้ว นับจากผิวดิน แล้วใช้กรรไกรหรือมีด ตัดหนามตรงบริเวณที่จะติดตาออกโดยรอบกิ่ง
2. ใช้ปลายมีดกรีดที่เปลือกเป็นรูปตัวที แล้วเผยอเปลือกตรงรอยกรีด ด้านบนให้เปิดออกเล็กน้อย
3. เฉือนตาเป็นรูปโล่ ให้ได้แผ่นตำยาวประมาณ 1 นิ้ว และให้แผ่นตานั้น มีเนื้อไม้ติดมาด้วยเพียงบางๆ ไม่ต้องแกะเนื้อไม้ติดมามาก ให้ลอกเนื้อไม้ออกอย่าง ระมัดระวังอย่าให้แผ่นตาโค้งงอหรือบอบช้ำ
4. นำแผ่นตาไปเสียบลงที่รอยกรีดของต้นตออย่างระมัดระวังอย่าให้แผ่นตาช้ำ โดยใช้มือซ้ายจับแผ่นตา (ตรงก้านใบ) ค่อย ๆ กดลงไปขณะเดียวกันมือขวา ก็ค่อยเปิดเปลือกช่วย แล้วพันด้วยพลาสติก
เพื่อให้ตาเจริญเติบโตเร็วขึ้น ควรปล่อยให้กิ่งใหม่เจริญเติบโตจนกระทั่ง กิ่งใหม่ยาวพอสมควรแล้วจึงตัดต้นตอที่อยู่เหนือกิ่งใหม่ออกทั้งหมด สำหรับ พลาสติก ที่ติดตาอยู่นั้นอาจจะปล่อยให้ผุหรือหลุดไปเองก็ได้ถ้าเห็นว่าแผ่นพลาสติกนั้นรัด ต้นเดิมแน่นเกินไปหรือไปขัดขวางการเจริญเติบโตของกิ่งใหม่ก็ให้แกะออก
ส่าหรับกิ่งที่แตกออกมาใหม่นี้ ควรมีไม้ผูกพยุงกิ่งไว้เสมอเพราะอาจจะ เกิดการฉีกขาดตรงรอยต่อได้ง่ายเนื่องจากรอยประสานยังไม่แข็งแรงนัก
ในกรณีที่การติดตานั้นไม่ได้ผล คือ แผ่นตาที่นำไปติดตานั้นเปลี่ยนเป็น สีน้ำตาลหรือสีดำให้รีบแกะแผ่นพลาสติกและแผ่นตานั้นออกแล้วติดตาใหม่ในด้าน ตรงข้ามกับของเดิม หากไม่ได้ผลอีกต้องเลี้ยงดูต้นตอนั้นจนกว่ารอยแผลจะเชื่อม ก้นดีแล้วจึงนำมาติดตาใหม่ได้
สำหรับการติดตาในกุหลาบแบบทรงต้นสูง (Standard) นั้นก็ทำเช่นเดียวกัน เพียงแต่ตำแหน่งที่ติดตาอยู่ในระดับสูงกว่าเท่านั้นเอง การติดตาจะติดที่ต้นตอหรือกิ่ง ขนาดใหญ่ที่แตกออกมาก็ได้
การให้น้ำกุหลาบ
กุหลาบเป็นพืชที่ต้องการความชื้นสูง ปริมาณน้ำที่รดลงไปในดินปลูกควร กะให้น้ำซึมได้ลึกประมาณ 16-18 นิ้วและอาจเว้นระยะการรดน้ำได้คือ ไม่จำเป็น ต้องรดน้ำทุกวัน (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพดินปลูก) มีข้อควรจำอย่างยิ่งในการรดน้ำ กุหลาบคือ อย่ารดน้ำให้โดนใบเนื่องจากโรคบางโรคที่อยู่ตามใบหรือกิ่งจะแพร่ระบาด กระจายไปได้โดยง่าย การให้น้ำก็ไม่ควรให้น้ำกระแทกดินปลูกแรงๆ เพราะเม็ดดิน จะกระเด็นขึ้นไปจับใบกุหลาบ ทำให้เชื้อโรคบางชนิดที่อาศัยอยู่ในดินระบาดกลับ ขึ้นไปที่ต้นโดยง่ายและถ้าจำเป็นจะต้องรดน้ำให้เปียกใบควรจะรดน้ำในตอนเช้า
การใส่ปุ๋ย
ในระยะแรกของการปลูกจะเป็นระยะที่ต้นกุหลาบเจริญเติบโตสร้างใบ และกิ่ง ควรใส่ปุ๋ยเคมีที่มีสูตรตัวแรกคือไนโตรเจนสูง โดยใส่ทุก 15 หรือ 30 วัน อัตราการใส่ 1 กำมือต่อต้น ก่อนใส่ปุ๋ยควรมีการพรวนดินตื้นๆ อย่าให้กระทบ รากมากนัก แล้วโรยปุ๋ยให้รอบ ๆ ต้นห่างจากโคนต้น 4-6 นิ้วแล้วแต่ขนาดของ ทรงพุ่ม จากนั้นก็รดน้ำตามให้ซุ่ม (แต่อย่ารดน้ำจนโชก) เมื่อกุหลาบเริ่มให้ดอก ควรใช้ปุ๋ยเคมีที่มีฟอสฟอรัสและโปแตสเซี่ยมสูงควบคู่กันไปเพื่อเร่งการออกดอก และทำให้ก้านดอกแข็งแรง นอกจากนี้อาจจะให้ปุ๋ยทางใบเพิ่มเติมก็จะเป็นการดี ข้อควรระวังในการใส่ปุ๋ย หลังจากปลูกแล้วคือควรโรยปุ๋ยให้กระจายรอบ ๆ ต้น อย่างสม่ำเสมออย่าใส่เป็นกระจุก ๆ ที่จุดใดจุดหนึ่งเพราะอาจทำให้เกิดความเสียหาย ต่อต้นกุหลาบได้ เนื่องจากมีความเข้มข้นของปุ๋ยตรงจุดที่ใส่มากเกินไป
การป้องกันและกำจัดวัชพืชในแปลงปลูก
อาจจะใช้แรงงานคนเก็บถอนหรือใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชซึ่งมีทั้งชนิดคุม กำเนิดและชนิดที่ถูกทำลายต้นตาย (อัตราการใช้จะระบุอยู่ที่ฉลากของขวด) ข้อควรระวังในการใช้สารเคมีเพื่อกำจัดวัชพืชนี้คือ พยายามหลีกเลี่ยงที่จะฉีดพ่นสาร ให้ถูกต้นหรือใบกุหลาบและไม่ใช้ถังฉีดพ่นปะปนกับถังที่ใช้พ่นสารเคมีป้องกันกำจัด โรคและแมลง
การคลุมดินแปลงปลูก
เนื่องจากกุหลาบเป็นพืชที่ต้องการแสงแดดจัดอย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมง ดังนั้นสถานที่ปลูกกุหลาบจึงต้องเป็นที่โล่งแจ้งและจะต้องมีความชื้นสูงด้วย การ คลุมแปลงปลูกจึงเป็นสิ่งจำเป็นส่าหรับการปลูกกุหลาบโดยใช้วัสดุที่หาได้ง่ายใน ท้องถิ่นนั้นๆ เซ่น หญ้าแห้ง ฟาง เปลือกถั่วลิสง ซังข้าวโพด ชานอ้อย ขุยมะพ้าว แกลบ และขี้เลื่อย เป็นต้น ควรจำไว้ว่าวัสดุที่จะนำมาคลุมแปลงปลูกนี้ควรเป็น วัสดุที่เก่า คือ เริ่มสลายตัวแล้วมิฉะนั้นจะทำให้เกิดการขาดไนโตรเจนกับต้น กุหลาบ ดังนั้นถ้าไซ้วัสดุที่คลุมแปลงค่อนข้างใหม่ควรเติมปุ๋ยไนโตรเจนลงไปด้วย การคลุมแปลงนี้นอกจากจะช่วยรักษาความชื้นและอุณหภูมิรวมทั้งเพิ่มความโปร่ง ของดิน และเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดินในแปลงปลูกแล้วยังช่วยป็องกันวัชพืชให้ขืน ช้าอีกด้วย
การตัดแต่งกิ่ง
การตัดแต่งกิ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการปลูกกุหลาบ ถ้าผู้ปลูกกุหลาบไม่มี การตัดแต่งกิ่งเลยก็จะทำให้ต้นกุหลาบเจริญเติบโตอย่างอิสระ แตกกิ่งก้านมาก เกินไป ทำให้ดอกมีขนาดเล็ก ไม่เป็นที่ต้องการของตลาด ดังนั้น เกษตรกรจึง ควรมีการตัดแต่งกิ่งเพื่อให้ต้นได้รูปทรง พุ่มต้นและโคนต้นโปร่งได้รับแสงแดด มากขึ้น ดอกที่ได้จะมี ขนาดใหญ่และมีคุณภาพดี นอกจากนี้การตัดแต่งกิ่งยังช่วย กำจัดโรคและแมลงที่แอบแฝงอยู่ในพุ่มต้นได้ดีอีกด้วย รวมทั้งสามารถแต่งดิน ในแปลงปลูกได้สะดวก ทำให้กุหลาบที่ได้มีการตัดแต่งกิ่งแล้วเจริญเติบโตดีขึ้น
การตัดแต่งกิ่งกุหลาบสามารถ ทำได้ 2 แบบคือ
1. การตัดแต่งกิ่งแบบให้เฑลือกิ่งไว้กับต้นยาว คือ ตัดแต่งกิ่งออกเพียงเล็กน้อย โดยให้เหลือกิ่งที่มีใบสมบูรณ์ไว้มากเพื่อให้มีอาหารเลี้ยงต้นมาก การตัดแต่งกิ่งมีหลักในการพิจารณาเลือกกิ่งที่จะต้องตัดออกคือกิ่งที่แห้งตาย กิ่งที่ เป็นโรคหรือถูกแมลงทำลาย กิ่งไขว้ที่เจริญเข้าหาทรงพุ่ม กิ่งที่ล้มเอนไม่เป็นระเบียบ ควรจะต้องให้ตาที่อยู่บนสุดของกิ่งหันออกนอกพุ่มต้น เพื่อให้กิ่งที่แตกใหม่หัน ออกนอกทรงพุ่มด้วยและตัดกิ่งให้เฉียง 45 องศา สำหรับการตัดแต่งกิ่งแบบให้ เหลือกิ่งไว้กับต้นยาวนี้ใช้ได้กับกุหลาบที่ปลูกจากกิ่งตัดชำและกิ่งตอน
 
การตัดแต่งกิ่งแบบให้เหลือกิ่งไว้กับต้นยาว
2. การตัดแต่งกิ่งแบบให้เลือกกิ่งไว้กับต้นสั้น คือ ตัดแต่งกิ่งจนเหลือกิ่งบนต้นสูงจากพื้นดินประมาณ 30-45 เซนติเมตร แล้วเหลือกิ่งไว้ 3-4 กิ่งเท่านั้นการตัดแต่งกิ่งแบบนี้จะตัดแต่งได้เฉพาะต้นกุหลาบที่ปลูกจากต้นติด ตาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าต้นติดตานั้นมีอายุน้อยกว่า 2 ปี ให้ตัดแต่งกิ่งแบบแรก แต่ต้องตัดเพิ่มเติมอีก คือ กิ่งแก่ที่ไม่ต้องการและกิ่งชักเกอร์ (กิ่งของต้นตอซึ่งเป็นกุหลาบ พันธุ์ป่า)
สำหรับระยะเวลาที่เหมาะสมต่อการตัดแต่งกิ่ง คือ ต้นฤดูฝน เมื่อตัดแต่ง กิ่งให้น้อยลงตามความต้องการแล้วควรใช้ปูนแดงผสมกับยากันรา หรือใช้สีน้ำมัน ทาบนรอยแผลที่ตัดเพื่อป้องกันการเน่าลุกลามของเชื้อราจากรอบแผลที่ตัด นอกจาก นี้ควรเก็บกิ่งและใบที่ตัดออก ทำความสะอาดแปลงให้เรียบร้อยด้วยแล้วจึง แต่งดินในแปลงปลูก คือ ไถพรวนหน้าดิน ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยเคมี รวมทั้งใช้วัสดุ คลุมแปลงปลูกพร้อมทั้งรดน้ำให้ชุ่มด้วย จะทำให้กุหลาบแตกตาได้เร็วและได้ต้น ที่สมบูรณ์
การตัดแต่งกิ่งแบบให้เหลือกิ่งไว้กับต้นสั้น
การตัดดอกกุหลาบ
การตัดดอกกุหลาบเพื่อจำหน่ายนั้น ควรให้มีกิ่งเหลืออยู่อย่างน้อย 2 กิ่ง เสมอ (กิ่งที่มีใบย่อยครบ 5 ใบ) ไม่ควรตัดชิดโคนกิ่ง และเมื่อตัดดอกออกจาก ต้นแล้วให้รีบแช่ก้านดอกในน้ำทันทีเพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำจากกิ่ง โดยทั่วไป เกษตรกรนิยมตัดดอกในตอนบ่ายและเย็น หรืออาจตัดในตอนเช้าก็ได้ (เพื่อจะได้ส่งตลาดทันเวลา) แต่เนื่องจากดอกกุหลาบมีอายุการใช้งานสั้นและกลีบดอก ก็ช้ำได้ง่าย ฉะนั้นการตัดดอกกุหลาบในช่วงที่ยังไม่เหมาะสมจะทำให้เกิดปัญหาได้ เช่น ถ้าตัดดอกตูมเกินไป ดอกก็จะไม่บานและคอดอกจะโค้งงอง่าย แต่ถ้าตัดดอกที่บานเกินไป ดอกกุหลาบจะบานเร็ว และมีอายุการปักแจกันสั้น

โรคและแมลงศัตรูกุหลาบ
1. โรคใบจุด เกิดจากเชื้อรา มีลักษณะอาการเป็นจุดดำกลมบนใบ ส่วนใหญ่จะเป็นกับใบแก่จะทำให้ใบเหลืองและร่วงในเวลาต่อมา บางครั้งถ้าเป็นมากอาจ ลุกลามมาที่กิ่งด้วย ระบาดมากในฤดูฝน ควรป้องกันโดยฉีดพ่นด้วยสารเคมี เช่น ดูปราวิท ไดเทนเอ็ม-45 แคปแทน เบนเสท และเบนโนมิล
2. โรคราแป้ง เกิดจากเชื้อรา โรคนี้จะเป็นกับยอดอ่อนและดอกอ่อนมีลักษณะเป็นปุยขาวคล้ายแป้งทำให้ส่วนของพืชที่เป็นโรคนี้เกิดอาการหงิกงอไม่เจริญเติบโตต่อไป ระบาดมากในฤดูหนาว ควรป้องกันโดยฉีดพ่นด้วยสารเคมี เช่น เบนเสท ดาโคนิล และคาราแทน
3. โรคหนามดำ เกิดจากเชื้อราโดยเชื้อรานี้จะเข้าทำลายแผลที่เกิดจากรอยตัดหรือเด็ดหนามของกิ่งอ่อนแล้วลุกลามไปเรื่อยๆ ตามกิ่งก้าน ทำให้กิ่งก้าน เหี่ยวแห้งตายไปในที่สุดควรป้องกันโดยทาแผลจากรอยตัดด้วยปูนแดง
4. โรคใบจุดสีน้ำตาลหรือโรคตากบ เกิดจากเชื้อรา มีลักษณะอาการเป็นจุดกลมสีน้ำตาลขนาด 1/4 นิ้ว แล้วจะเปลี่ยนเป็นวงกลมสีเทามีขอบสีม่วง-แดง ระบาดมากในฤดูฝน ควรป้องกันโดยใช้สารเคมีเบนเสท ไดเทนหรือแบนแซดดี
5. โรคไวรัส เกิดจากเชื้อไวรัส ลักษณะอาการจะปรากฎให้เห็นที่ใบ โดยใบจะด่างเหลือง เมื่อพบว่าต้นกุหลาบเป็นโรคนี้ให้ถอนและเผาทำลายเสีย
หนอนและแมลงชนิดต่าง ๆ
1. หนอนเจาะดอก เป็นหนอนผีเสื้อกลางคืนขนาดเล็กซึ่งจะวางไข่อยู่ที่กลีบดอกด้านนอก เมื่อไข่ฟักออกเป็นตัวจะกัดกินดอกและอาศัยอยู่ในดอก ระบาดมากช่วงที่กุหลาบให้ดอกดกหรือในช่วงฤดูหนาว ควรป้องกันโดยใช้สารเคมี ประเภทดูดซึม เช่น ดิลดริน ฟอสดริน
2. หนอนกินใบ เป็นหนอนของผีเสื้อกลางคืน มักวางไข่อยู่ใต้ใบ เมื่อไข่ฟักเป็นตัวหนอนก็จะทำลายใบที่อาศัย บางชนิดทำลายเฉพาะผิวเนื้อใต้ใบทำให้ใบมีลักษณะโปร่งใสมองเห็นได้ชัดเจน สารเคมีที่ใซ้ได้ผลดี เช่น เอนดริน
3. หนอนเจาะต้น เป็นหนอนของผึ้งบางชนิดและหนอนของแมลงวันบางชนิด อาจจะเป็นหนอนของพวกต่อแตนด้วย หนอนชนิดนี้จะเจาะกินไส้กลาง และบริเวณท่อน้ำของกิ่งหรือต้น ทำให้กิ่งและต้นแห้งตาย ควรป้องกันกำจัดโดยการ ตรวจดูบริเวณรอยต่อระหว่างกิ่งแห้งและกิ่งดี หากพบตัวหนอนก็ทำลายเสียหรือ ป้องกันโดยการตัดแต่งกิ่งตามกำหนด
4. แมลงปีกแข็ง บางทีเรียกด้วงปีกแข็ง มีทั้งชนิดตัวสีดำและสีน้ำตาลขนาดประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร ออกหากินในเวลากลางคืนระหว่าง 1-3 ทุ่ม โดยการกัดกินใบกุหลาบ ส่วนในเวลากลางวันจะซ่อนตัวอยู่ตามกอหญ้า ป้องกัน โดยใช้สารเคมี เช่น คลอเดน หรือ เซพวิน

5. ผึ้งกัดใบ จะกัดกินใบกุหลาบในช่วงเวลากลางวัน สังเกตได้ที่รอยแผลมักจะเป็นรอยเหมือนถูกเฉือนด้วยมีดคมๆ เป็นรูปโค้งป้องกันได้เช่นเดียวกับแมลงปีกแข็ง

6. เพลี้ยไฟ เป็นแมลงปากดูด มีสีน้ำตาลดำ ตัวอ่อนสีขาวนวลจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบและดอก ทำให้ดอกที่ถูกทำลายไม่บาน ระบาดมากในฤดูร้อน ป้องกันโดยการฉีดพ่นด้วยสารเคมี เช่น โตกุไทออน คลอเดนหรือนิโคตินซัลเฟต
7. เพลี้ยแป้ง เป็นแมลงปากดูดมักเกาะกินตามใบอ่อนหรือง่ามใบ ทำให้ใบหงิกงอ ควรป้องกันกำจัดโดยใช้สารเคมีกำจัดแต่ต้องผสมสารเคลือบใบลงไป ด้วยเพราะบนตัวเพลี้ยแป้งจะมีขนปุยสีขาวปกคลุม ซึ่งมีลักษณะเป็นมันจับน้ำ ได้ยาก
8. เพลี้ยหอย เป็นแมลงปากดูด มักเกาะทำลายโดยดูดน้ำเลี้ยงจากลำต้น จะสังเกตเป็นเป็นจุดสีน้ำตาลอยู่บนกิ่งของกุหลาบ เพลี้ยหอยนี้มีลักษณะพิเศษ คือ ตัวของมันจะมีเปลือกหุ้มหนาทำให้แมลงซึมเข้าถึงตัวได้ยาก ฉะนั้นวิธีกำจัดที่ได้ผลดีก็คือ ใช้น้ำมันทาหรือฉีดพ่นเคลือบตัวมันไว้ ทำให้เพลี้ยไม่มีทางหายใจ และตายในที่สุด แต่เมื่อเพลี้ยตายแล้วจะไม่หลุดจากลำต้นจะยังติดอยู่ที่เดิม
9. เพลี้ยอ่อน เป็นแมลงปากดูด ทำลายพืชตรงบริเวณส่วนที่เป็นยอดอ่อนและใบอ่อน ทำให้ใบเหลืองและร่วงหล่น ควรป้องกันกำจัดโดยใช้สารเคมี เช่น ฟอสดริน เอนดริน และพาราไธออน เป็นต้น

การกรีดยาง

ผลกระทบจากการกรีดยางต้นเล็ก ปัญหานี้ส่วนใหญ่จะพบมากแถบภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพราะมีสภาพอากาศแห้งแล้งกว่าภาคใต้ อีกทั้งช่วงนี้เป็นช่วงที่ยางพารามีราคาแพงทำให้เกษตรเร่งเปิดกรีดยาง ทั้งๆที่ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม
ผลกระทบจากการกรีดยางต้นเล็ก
ผลกระทบจากการกรีดยางต้นเล็ก

กรมวิชาการเกษตรได้มีการวิจัยออกมาแล้วว่า ถ้าหากเกษตรทำการเร่งกรีดยางที่มีขนาดยังไม่ได้มาตรฐาน(ขนาดมาตรฐานคือ เส้นรอบวง 50 ซม. โดยวัดที่ความสูงจากพื้นดิน 150 ซม.) จะทำให้ต้นยางได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก ดังนี้

  • ยางที่มีลำต้นขนาดเล็ก ความหนาของเปลือกจะบาง ส่วนของเปลือกยางจะมีท่อน้ำเลี้ยงเป็นส่วนที่จะสร้างน้ำยางให้ลำต้น ถ้าเปลือกบางจะมีท่อน้ำเลี้ยงน้อยทำให้ได้ผลผลิตไม่เต็มที่ และจะทำให้ยางเติบโตช้าลงมาก
  • การกรีดยางต้นเล็ก จะทำให้ผลผลิตน้ำยางลดลงประมาณ 30-60 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับยางขนาด 50 เซ็นติเมตร
  • การกรีดยางต้นเล็ก ทำให้สิ้นเปลืองหน้าเปลือกมาก ทำให้หน้ากรีดเสียหายมาก เพราะหน้าเปลือกยังบางอยู่ ทำให้ยางพารามีอายุสั้นลง และอาจจะทำให้เกิดปัญหาหน้ายางตายได้
  • และการกรีดยางต้นเล็กก็จะส่งผลให้คุณภาพของไม้ยางพาราด้อยลงอีกด้วย (กรณีที่ยางพาราหมดอายุขัยแล้วนำไปทำเฟอร์นิเจอร์ไม้)
วิธีการกรีดยาง...

http://www.youtube.com/watch?v=sdDuDEx8vEw

การเกษตรเรื่องการใช้ประโยชน์ถั่วฮามาต้า

การใช้ประโยชน์ถั่วฮามาต้า
การใช้ประโยชน์ถั่วฮามาต้า



การตัดถั่วฮามาต้ามาให้สัตว์กินครั้งแรก ควรตัดเมื่อถั่วมีอายุ 60-75 วัน โดยให้ตัดสูงจากพื้นดิน 10-15 เซ็นติเมตร สำหรับในกรณีที่ปล่อยสัตว์เข้าแทะเล็ม ควรปล่อยให้แทะเล็มครั้งแรกเมื่อถั่วอายุ 70-80 วัน และหลังจากนั้นจึงจะทำการตัด หรือปล่อยสัตว์เข้าแทะเล็มเป็นช่วงๆในทุกระยะ 30-45 วัน

ที่มา พืชอาหารสัตว์พันธุ์ดี เอกสารคำแนะนำของ กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

การเกษตรเรื่องการเก็บเกี่ยวฟ้าทะลายโจร

การเก็บเกี่ยวฟ้าทะลายโจร
การเกษตรเรื่องการเก็บเกี่ยวฟ้าทะลายโจร


การเก็บเกี่ยวฟ้าทะลายโจร

  • เกษตรกรควรเก็บเกี่ยวฟ้าทะลายโจรในช่วงที่ฟ้าทะลายโจรเริ่มออกดอกจนถึงดอกบาน 50% ซึ่งฟ้าทะลายโจรจะมีอายุประมาณ 110-150 วัน การออกดอกนี้จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อม วิธีเก็บเกี่ยวฟ้าทะลายโจรเกษตรกรควรใช้กรรไกรตัดหรือเคียวเกี่ยวทั้งต้นให้เหลือตอสูง ประมาณ 5-10 เซนติเมตร เพื่อเลี้ยงต้นตอให้เจริญเติบโตให้ผลผลิตในรุ่นต่อไป โดยใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน จึงสามารถเก็บเกี่ยวฟ้าทะลายโจรได้อีกครั้ง
  • หลังจากที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวฟ้าทะลายโจรเรียบร้อยแล้วเกษตรกรควรการทำความสะอาดและการเตรียมสมุนไพรก่อนทำให้แห้ง นำฟ้าทะลายโจรที่เก็บมาล้างน้ำให้สะอาด ตัดหรือหั่นให้มีความยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ แล้วนำมาเกลี่ยบนภาชนะที่สะอาด เช่น กระด้งหรือถาด การตากควรคลุมภาชนะด้วยผ้าขาวบาง เพื่อป้องกันฝุ่นละอองและกันการปลิวของสมุนไพร ตากจนแห้งสนิท หรือโดยการอบที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียสใน 8 ชั่วโมงแรก ต่อไปใช้อุณหภูมิ 40-45 องศาเซลเซียส
  • หลังจากที่ฟ้าทะลายโจรแห้งดีแล้วเกษตรกรควรนำฟ้าทะลายโจรเก็บใส่ถุงพลาสติกปิดปากถุงหรือมัดให้แน่นและเกษตรกรควรเก็บฟ้าทะลายโจรในที่สะอาด เกษตรกรไม่ควรเก็บฟ้าทะลายโจรไว้ใช้นานเพราะจะทำให้ปริมาณสารสำคัญลดลงประมาณ 25%

บางจาก วางแผนผลิตพลังงานทดแทนจากสาหร่าย

บางจาก ผู้นำด้านพลังงานทดแทนของประเทศไทย วางแผนผลิตพลังงานทดแทนจากสาหร่าย โดยจะนำสาหร่ายที่เจริญเติบโตเร็วมากมาสกัดเป็นน้ำมันดิบ เพื่อนำมากลั่นเป็นไบโอดีเซลต่อไป
พลังงานทดแทนจากสาหร่าย
พลังงานทดแทนจากสาหร่าย

โดยขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงทดลอง ถ้าหากประสบผลสำเร็จ(ทำเป็นธุรกิจ) บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด , บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน) และบริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด(มหาชน) จะร่มลงทุนกันด้วยจำนวนเงินมากถึง 1,000 ล้านบาท

ซื่งถือเป็นเรื่องน่ายินดีเพราะราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้นอยู่ตลอดเวลา มิหนำซ้ำยังเป็นพลังงานที่ไม่สะอาด แต่ถ้าเป็นน้ำมันจากสาหร่ายก็จะได้พลังงานที่สะอาด เพราะสาหร่ายใช้ก็าซคาร์บอนไดออกไซต์และแสงแดดในการเจริญเติบโต และกากสาหร่ายที่ได้จากการสกัดน้ำมันยังสามารถนำมาเป็นอาหารสัตว์ได้อีกด้วย
และถ้าหากการทดลองประสบความสำเร็จก็อาจจะมีการผลักดันให้เกษตรกรเพาะเลี้ยงสาหร่ายอีกด้วย เพราะสาหร่ายสามารถเก็บผลผลิตได้ทุกวันไม่เหมือนปาล์มน้ำมันที่มีฤดูเก็บเกี่ยวของมัน
อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับสาหร่ายพลังงานทดแทนได้ที่